ต้องอ่าน อันตรายที่ คาดไม่ถึง!! เตือน ใช้แป้งโรยตัว ก็เป็นมะเร็งได้!



คุณรู้หรือไม่ว่า… แป้งที่ใช้ทุกวันนี้… มีอันตราย ถึงขั้นเป็น มะเร็งได้!

เรื่องราวสุขภาพใกล้ตัวเรา เตือนแป้งโรยตัวมีอันตราย ถึงขึ้นเป็นมะเร็งได้
เอาละซิ แป้งโรยตัวกับมะเร็ง ข่าวที่สร้างความกังวล กับหลายคน ที่ใช้แป้งในชีวิตประจำวันกัน!

แป้งทัลคัม(Talcum) อันตรายอย่างที่เขาแชร์กันจริงรึเปล่า???
และการที่เรา สูดดมแป้งฝุ่น เข้าไปทุกๆวันนั้น ทำไมมันจึงมีอันตรายมาก!

แป้งโรยตัวที่เราใช้กันอยู่นั้นส่วนมากมาจาก ทัลค์ (talc) หรือทัลคัม (Talcum)
ซึ่งผลิตจากแร่หินตามธรรมชาติ มีความเชื่อเกี่ยวกับแป้งทัลค์ กับมะเร็งมากมาย
โดยเฉพาะเรื่องมะเร็งรังไข่ วันนี้จึงขอเอาข้อมูลที่มี มาฝากกันครับ

เตือนแป้งโรยตัวกับมะเร็ง
เตือนแป้งโรยตัวกับมะเร็ง

เกร็ดความรู้: ผู้หญิงราวๆ 20-50% ใช้แป้งกับจุดซ่อนเร้น
Talc มีชื่อทางเคมีว่า Hydrated magnesium silicate อยากรู้ว่ายี่ห้อแป้งไหนใช้ Talc บ้างก็ดูได้จากตรงนี้ครับ)

// กรมวิทย์ฯ แนะใช้แป้งฝุ่นโรยตัว…อย่างปลอดภัย //

แนะไม่โรยแป้งฝุ่น ที่ตัวเด็กโดยตรง ส่วนสตรีไม่ใช้ที่จุดซ่อนเร้น เสี่ยงมะเร็งรังไข่

จากกรณีมีกระแสข่าวในโลกออนไลน์ว่า การทาแป้งฝุ่นนั้น เป็นอันตรายต่อร่างกาย สร้างความกังวล กับหลายคน ที่ใช้แป้งในชีวิตประจำวัน

นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า

แป้งฝุ่นโรยตัวและแป้งฝุ่นผัดหน้า มีส่วนประกอบหลักคือ ทัลค์ (talc) หรือทัลคัม (Talcum) ซึ่งเป็นสารอนินทรีย์ ชื่อทางเคมีคือไฮดรัส แมกนีเซียมซิลิเกต ซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติ ลักษณะเป็นผงสีขาวหรือสีครีม มีคุณสมบัติทนความร้อน ทนกรด ต้านทานต่อการนำไฟฟ้า ช่วยการผสมผสานและดูดซึมซับความชื้น ทำให้พื้นผิวแห้งเนียนลื่น ไม่ดูดติดกัน

ดังนั้น จึงนิยมนำไปใช้ประโยชน์ในทุกวงการ เช่น สี สารหล่อลื่น เซรามิกกันไฟ แก้ว ผลิตภัณฑ์ขัดล้างทำความสะอาด กระดาษ ยาง ยา และเครื่องสำอาง

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อว่า…

จากการศึกษาพบว่า ทัลค์ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ต่อสัตว์ทดลอง ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และไม่เป็นสารก่อมะเร็ง อย่างไรก็ตามทัลค์ สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางจะต้องมีความบริสุทธิ์สูง ผ่านการบดและคัดแยก ขนาดตั้งแต่ 0.3 ถึง 75 ไมโครเมตร ไม่มีอนุภาคแข็ง สิ่งแปลกปลอมที่มองเห็นได้ และต้องไม่พบแร่ใยหิน

ทั้งนี้ในการผลิตทัลค์ จากแหล่งหินตามธรรมชาติอาจมีการปนเปื้อนของแร่ใยหิน ซึ่งสำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เฝ้าระวังความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์แป้งที่มีส่วนผสมของทัลค์ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ถึง 2558 จำนวน 73 ตัวอย่าง ผลการตรวจพบว่าทุกตัวอย่างไม่พบการปนเปื้อนของแร่ใยหิน

“เนื่องจาก ทัลค์ เป็นสารอนินทรีย์ จึงไม่ถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ในธรรมชาติ“

ดังนั้นการทาแป้งโดยเฉพาะตอนโรยแป้ง ผงแป้งจะลอยในอากาศ หากสูดดมเข้าไปทางลมหายใจเป็นเวลานาน จะเกิดการสะสมเป็นก้อนในปอด ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ ส่วนในเด็กทารกอาจทำให้ปอดอักเสบและตายได้ ในสตรีหากใช้โรยบริเวณจุดซ่อนเร้นเป็นเวลานานๆ อาจทำให้เกิดมะเร็งรังไข่ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการโรยแป้งไปที่ตัวเด็กโดยตรง และสตรีไม่ควรโรยแป้งบริเวณจุดซ่อนเร้น” นพ.อภิชัย กล่าวทิ้งท้าย

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลิตภัณฑ์แป้ง ที่มีส่วนผสมของทัลค์ ไม่พบการปนเปื้อนของแร่ใยหิน ในทุกตัวอย่าง

พร้อมแนะนำการใช้แป้งฝุ่น สำหรับเด็กต้องไม่โรยแป้งฝุ่นไปที่ตัวเด็กโดยตรง ส่วนสตรีไม่ควรโรยแป้งบริเวณจุดซ่อนเร้น ระบุหากใช้เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดมะเร็งรังไข่

ข้อมูลเพิ่มเติม

การควบคุมแร่ใยหินตามกฎหมาย แร่ใยหินเป็นสารห้ามใช้ลำดับที่ 737 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ตามที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนพิเศษ 80 ง ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 ในต่างประเทศได้ถูกยกเลิกตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 (พ.ศ.2523)

แหล่งข่าวโดย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

ดังนั้นครั้งต่อไปที่ทาแป้ง ก็ควรใช้ทีละน้อยๆ และทาในบริเวณที่เหมาะสม
จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และยังช่วยประหยัดเงิน ได้อีกด้วยนะครับ ^^

เรียบเรียงข้อมูลโดยเมทไทยดอทคอม

7 thoughts on “ต้องอ่าน อันตรายที่ คาดไม่ถึง!! เตือน ใช้แป้งโรยตัว ก็เป็นมะเร็งได้!”

  1. ใช้แป้งที่จุดซ่อนเร้น ปลอดภัยจริงหรือ

    หลายคนนิยมทาแป้งโรยตัวเพราะทาแล้วรู้สึกว่าผิวเนียน เนื้อนวล แถมมีกลิ่นกลุ่นหอมละมุนอีกต่างหาก ใครๆ ก็เลยนิยมใช้แป้งกันอย่างแพร่หลาย ใช้กับทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่หน้าจนถึงฝ่าเท้า ไม่เว้นกระทั่งก้นและจุดซ่อนเร้น

    ซึ่งผู้หญิงส่วนมากให้ความเห็นว่า ช่วยให้แห้งสบายจากความชื้นโดยเฉพาะเมื่อใช้แผ่นอนามัยรองซึมซับกันเปื้อน ใช้กันตั้งแต่เด็กแบเบาะจนแก่เฒ่า แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับการใช้ชีวิตเลยก็ได้ แต่ใช้กันมากขนาดนี้ ชักสงสัยแล้วสิว่ามันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม?

    เพราะการใช้แป้งที่ก้นกับอวัยวะเพศมีมากจนเป็นแฟชั่นฮิตอีกอย่างหนึ่ง ในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1970ก็เลยมีการสงสัยว่าแป้งทำให้เกิดมะเร็งที่รังไข่ได้หรือไม่? ก็มีคนทำการค้นคว้าและย้อนถามพบว่า คนที่เป็นมะเร็งรังไข่ 43%ที่ใช้แป้งอย่างมากมายกับอวัยวะเพศ แต่พวกที่ไม่ได้เป็นมะเร็งรังไข่ 28%ก็มีการใช้แป้งกับอวัยวะเพศเช่นกัน มันทำให้อัตราเสี่ยงมีมากถึงเกือบ 2เท่า และมีอีกมากมายกว่า 30รายการค้นคว้าที่ได้ผลประมาณว่าเป็นแบบเดียวกันนี้ บางรายงานสรุปความเสี่ยงมากถึง 2.5เท่า

    หลังจากปี ค.ศ. 1973ในสหรัฐอเมริกาก็ออกกฎหมายบังคับให้แป้งที่ใช้ทาตัวและเครื่องสำอางต้องปราศจากแอสเบสตอส (เพราะคิดว่าอาจเป็นเพราะแอสเบสตอสทำให้เกิดมะเร็งที่ปอดและมะเร็งที่เยื่อบุในช่องปอดและช่องท้อง) แต่ก็ยังมีรายงานในปีถัดมาเรื่อยๆ ว่ามีโอกาสเสี่ยงเกิดมะเร็งที่รังไข่สูงขึ้น 33%ในพวกที่ใช้แป้งกับอวัยวะสืบพันธุ์ และมีรายงานหนึ่งที่พบว่าต่อมน้ำเหลืองที่อุ้งเชิงกรานของคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะที่ 3ของรังไข่แบบ papillary serous มีเจ้า talc อยู่ในนั้น

    สรุปว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องของการใช้แป้งที่บริเวณอวัยวะเพศและทำให้เกิดมะเร็งของรังไข่แบบเซลล์บุพื้นผิว (epithelial cancer)โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกายผ่านช่องคลอดมดลูกและท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้อง และด้วยความเชื่อที่ว่า talc เป็นอินออร์แกนิค (สารอนินทรีย์) จึงไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน ขณะนี้แป้งที่ใช้โรยตัวและเครื่องสำอางในอเมริกาไม่ได้ใช้ talc แล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้แป้งข้าวโพด (corn starch) ซี่งเป็นสารออร์แกนิค (สารอินทรีย์) สามารถย่อยสลายตัวในคนได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า ถึงตอนนึ้ยังไม่มีรายงานว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้แป้งข้าวโพดกับการเกิดมะเร็งที่รังไข่

    แป้งโรยตัวและเครื่องสำอางที่เมืองไทยทำจาก talc เชื่อว่าไม่น่าจะมีใยหินหรือแอสเบสตอสปนเปื้อน แต่เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะมีอันตรายต่อสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องของมะเร็งรังไข่ดั่งรายงานทางการแพทย์ที่มีมากมาย ดังนั้นแม้แต่แป้งในอเมริกาที่เปลี่ยนไปใช้แป้งข้าวโพดแล้วก็ตาม กุมารแพทย์และสูตินรีแพทย์จึงแนะนำว่า ไม่ควรใช้แป้งหรือโลชั่นกับอวัยวะสืบพันธุ์ ดังนั้น…

    เด็กๆ ที่ต้องใส่ผ้าอ้อม สาวๆ ที่ใช้ผ้าอนามัยยามมีประจำเดือน หรือหญิงวัยทองที่มักเคยชินทาแป้งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์อยู่เสมอนั้น ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป ใครทำอยู่ก็เลิกเสียดีกว่าค่ะ

    การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและก้นไม่ให้อับชื้นก็คือ การล้างด้วยสบู่อ่อนแล้วล้างน้ำให้หมดสบู่ ตามด้วยการซับให้แห้งก่อนใส่ผ้าอนามัยชิ้นใหม่ และหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อมและผ้าอนามัยบ่อยๆ จะได้ไม่เหนอะตัว และไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์

    ถ้ารู้สึกว่ามีอาการแสบคันบริเวณก้นหรืออวัยวะเพศ ให้สังเกตและดูแลเรื่องของความชื้น หรือการแพ้ผ้าอนามัย หรือการใช้สบู่ที่มีความเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป หรืออาจมีการติดเชื้อก็ได้ อย่านิ่งนอนใจควรไปปรึกษาแพทย์

    เมื่อรู้สึกอยากจะใช้แป้งกับอวัยวะเพศ ก็ให้นึกว่า “อย่าเสี่ยงต่อการเกิดปัญหากับรังไข่ในอนาคตจะดีกว่า”

    ถ้าไม่มีประจำเดือนก็ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยรองกันเปื้อนเพราะพบได้บ่อยๆ ว่ามีอาการแพ้และผื่นขึ้นได้บ่อย

    สำหรับการทาแป้งให้เด็กๆ คุณแม่ที่ชอบบีบแป้งใส่อุ้งมือและทาไปยังบริเวณก้นและอวัยวะเพศของเด็กทีละมากๆ ควรเลิกพฤติกรรมนี้ดีกว่าค่ะ

    ถ้าจะใช้แป้งทาที่อื่นๆ ในร่างกายก็เทแป้งครั้งละน้อย และพยายามอย่าให้ฟุ้งในอากาศ เพราะจะปนเปื้อนเข้าปอดทั้งของคุณและเด็ก

    ไม่ควรให้เด็กถือกระป๋องแป้งเขย่าเล่น เพราะอาจหกใส่และสำลักหายใจเอาแป้งเข้าปอดและปอดอักเสบ ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงมีโอกาสถึงตายได้ค่ะ

    ดังนั้นทุกครั้งที่ทาแป้ง ก็ควรใช้ทีละน้อยๆ และทาในบริเวณที่เหมาะสมนะคะ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และที่สำคัญช่วยประหยัดเงินในการซื้อแป้งเป็นโหลๆ อีกต่างหาก

    ที่มาข้อมูล : healthtoday

  2. หมอมะเร็งอยากบอก

    แป้งโรยตัวกับมะเร็ง

    แป้งโรยตัวที่เราใช้กันอยู่นั้นส่วนมากมาจาก Talc ซึ่งผลิตจากแร่หินตามธรรมชาติ มีความเชื่อเกี่ยวกับแป้ง Talc กับมะเร็งมากมายโดยเฉพาะเรื่องมะเร็งรังไข่ วันนี้จึงขอเอาข้อมูลที่มีมาฝากกันครับ

    ก่อนจะอ่านต่อไปนั้นเราต้องแยกแป้ง Talc ซึ่งอาจพบในรูปแบบใยหิน (Asbestiform Talc) กับ แร่ใยหิน (Asbestos) ออกไปเสียก่อนซึ่งแร่ใยหินนั้นจัดเป็นสารก่อมะเร็งครับแต่ไม่ใช่สำหรับแป้งโรยตัวที่ทำจากแร่หิน Talc

    นอกจากแป้งโรยตัว บทความนี้จะรวมถึงเครื่องสำอางค์ที่มีส่วนประกอบของแป้ง Talc และผลิตภัณฑ์สำหรับจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงที่อาจมีการใช้แป้ง Talc เป็นส่วนประกอบ

    เกร็ดความรู้: ผู้หญิงราวๆ 20-50% ใช้แป้งกับจุดซ่อนเร้น

    ข้อมูลจะอ้างอิงการศึกษาโดย IARC (ดูคำอธิบายข้างล่าง)
    *** ใครสนใจอ่านตัวเต็มกดตรงนี้ครับ pdf file download ***

    ข้อมูลเรื่องการก่อมะเร็งในมนุษย์

    1 ในคนงานเหมืองแร่หินซึ่งจะมีการสัมผัสละอองแร่หินนี้ในปริมาณสูงมาก พบว่า มี 1/5 ของการศึกษาที่พบอัตราการเกิดมะเร็งปอดสูงขึ้นแต่เหมืองนั้นมีการสัมผัสกับแร่คอว์ซและแก๊สเรดอนซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอด ในขณะที่อีก 4 การศึกษาพบว่าไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอด

    2 แป้งโรยตัวซึ่งใช้กับบริเวณจุดซ่อนเร้น หรือบนผ้าอนามัย มีการศึกษาอยู่ 20 การศึกษาโดยมี 1 การศึกษาเป็นการศึกษาแบบติดตามระยะยาว พบว่า
    2A ในการศึกษาแบบติดตามระยะยาวในพยาบาลของอเมริกาจำนวน 78630 คน เป็นเวลาเกือบ 14 ปี พบว่า มีคนที่ใช้แป้งในจุดซ่อนเร้นราวๆ 40% ไม่พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่มากขึ้น
    2B ในการศึกษาแบบไม่ได้ติดตามต่อเนื่อง จำนวน 19 การศึกษาซึ่งทำในออสเตรเลีย แคนาดา และ อเมริกา พบว่าเมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยใช้แป้งในจุดซ่อนเร้น คนที่ใช้แป้งในบริเวณจุดซ่อนเร้นมีความเสี่ยงต่อโอกาสเกิดมะเร็งรังไข่สูงขึ้น 30-60% (1.3-1.6 เท่า)

    เกร็ดความรู้ : ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่ของผู้หญิงตลอดช่วงชีวิตคือ 1.4% ดังนั้นแม้ข้อมูลนี้จะเป็นจริงแปลว่าความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่ตลอดช่วงชีวิตจะเปลี่ยนเป็น 1.8 – 2.2% ซึ่งน้อยมากๆ

    อย่างไรก็ดีการศึกษาแบบนี้มีอคติหลายอย่างที่อาจเกิดขึ้นเช่น
    1 คนที่เป็นมะเร็งรังไข่มีแนวโน้มจะจำได้และบอกว่ามีการใช้แป้งตรงจุดซ่อนเร้น ในขณะที่คนปกติซึ่งใช้เปรียบเทียบมีแนวโน้มจะบอกว่ามีการใช้น้อยกว่า
    2 การเลือกคนที่เข้ามาทำการศึกษาอาจมีการเลือกคนไข้มะเร็งที่มีความสนใจต่อเรื่องนี้เข้ามามากกว่าคนที่ไม่เคยใช้
    3 การศึกษาที่ไม่พบความสัมพันธ์มีแนวโน้มที่จะไม่ได้รับการรายงานออกมา(เพราะมันไม่น่าสนใจ)
    4 แป้งในอดีตมีการปนเปื้อนของสารก่อมะเร็งสูงกว่าปัจจุบันซึ่งในรายงานเหล่านี้ไม่ได้บอกว่าการที่เคยใช้แป้งนั้นเป้นการใช้แป้งในช่วงยุดสมัยใด

    ข้อมูลเรื่องการก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง
    1 ในการทดลองด้วยการสูดดมในหนูพบว่ามีอัตราการเกิดมะเร็งปอดมากขึ้นในหนูตัวเมีย
    2 ในการทดลองด้วยการฉีดแป้งเข้าส่วนต่างๆของหนูไม่พบว่าก่อให้เกิดมะเร็งมากขึ้น

    ข้อมูลเรื่องกลไกการก่อมะเร็ง
    ปรกติแล้วสารก่อมะเร็งควรจะสร้างความเสียหายต่อพันธุกรรมซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง แต่สำหรับแป้งโรยตัวนั้นไม่พบว่าทำให้เกิดความเสียหายต่อสารพันธุกรรม
    ในผู้หญิงปกตินั้นโอกาสที่แป้งจะสามารถเคลื่อนที่ย้อนเข้าไปได้นั้นไม่น่าเกิดขึ้นได้หรือหากเกิดขึ้นได้ก็น้อยมาก อย่างไรก็ตามในผู้หญิงที่มีความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ซึ่งต้องรักษาด้วยการผ่าตัดนั้นสามารถพบหลักฐานการเคลื่อนที่ของแป้งไปสู่ภายในได้(เล็กน้อย)

    โดยสรุป
    การใช้แป้งโรยตัว Talc ในบริเวณจุดซ่อนเร้นของผู้หญิง อาจจะเป็นสารก่อมะเร็ง (Group 2B)

    การสูดดมแป้งโรยตัว (เช่นจากการใช้แป้งตามปกติ) ไม่จัดว่าเป็นสารก่อมะเร็ง (Group 3)

    คำแนะนำของสมาคมโรคมะเร็ง (American Cancer Society)
    แม้ข้อมูลจะยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่ามันก่อให้เกิดมะเร็งหรือไม่ แต่หากคุณกังวลเรื่องมะเร็งรังไข่อาจเป็นการดีที่คุณจะหลีกเลี่ยงการใช้ในบริเวณจุดซ่อนเร้น หรือ เลือกใช้แป้งที่ไม่มีสาร Talc อย่างไรก็ดีในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเรื่องความปลอดภัยหรืออันตรายจากการใช้แป้งจากผลิตภัณฑ์อื่น

    หมายเหตุขยายความ

    IARC หรือ International Agency for Research on Cancer เป็นหน่วยงานขององค์การอนามัยโลกหรือ WHO เป็นหน่วยงานที่เน้นการประเมินสารต่างๆว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในมนุษย์หรือไม่ ปัจจุบันมีสารเคมีมากมายที่ระบุว่าเป็นสารก่อมะเร็งและถูกจำกัดโดยกฏหมายต่างๆ

    สารที่ “อาจจะเป็นสารก่อมะเร็ง (Group 2B)” คือสารที่อาจจะมีความเสี่ยงของการก่อมะเร็งซึ่งมักพบว่าสารเหล่านี้มีข้อมูลที่ขัดแย้งกัน หรือ ไม่มีกลไกการก่อมะเร็งที่อธิบายได้ ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่
    สารสะกัดจากว่านหางจรเข้ (รอการตีพิมพ์)
    สารสะกัดใบแปะก๊วย
    ยาบางชนิด
    ลูกเหม็น
    และสารเคมีในชีวิตประจำวันจำนวนมาก
    ที่มา http://oncodog.blogspot.com/2014/05/blog-post_25.html

  3. เตือนภัย! แป้งโยคี อย่าใช้โรยตัวเด็กเล็ก เสี่ยงปอดอักเสบ-เสียชีวิต

    เภสัชกรเตือน “แป้งโยคี” กระปุกเหลือง ที่บางคนนิยมนำมาโรย มาทาหน้าทาตัวเด็ก ด้วยเชื่อว่าช่วยลดผดผื่นที่ผิวหนังได้ แท้จริงแล้วห้ามใช้กับเด็กเล็ก เพราะอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต

    เฟซบุ๊คเพจ เภสัชจิก กล่าวเตือนว่า แป้งโยคีที่ขายตามร้านขายยา ที่มีสรรพคุณช่วยลดผดผื่น ความอับชื้น สิวผด ไม่สามารถนำมาใช้ทาหน้าทาตัวเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบได้ ตามที่มีแจ้งไว้บนฉลากของผลิตภัณฑ์

    แป้งโยคี ห้ามใช้กับเด็กเล็ก!

    แป้งโยคีมีส่วนผสมของแร่หินทัลค์ (Talcum) ที่เป็นอนุภาคที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ ก่อให้เกิดการสะสมในปอด จนเป็นสาเหตุของโรคในระบบทางเดินหายใจต่างๆ โรคภูมิแพ้ ไอ จาม จนอาจเป็นโรคในระบบหายใจที่รุนแรงขึ้น จนอาจกลายเป็นปอดอักเสบ มีเนื้องอกในปอด และสุดท้ายอันตรายจนเสียชีวิตได้

    วิธีใช้แป้งกับเด็กอย่างปลอดภัย

    นอกจากนี้การใช้แป้งเด็กธรรมดาๆ กับเด็กเล็กมากเกินไป ก็อาจทำให้เด็กเกิดโรคภูมิแพ้ และมีปัญหากับทางเดินระบบหายใจเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงแนะนำให้ทาแป้งแต่น้อย บางๆ และอย่าทาหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กสูดเอาแป้งเข้าไปสะสมในปอดค่ะ

    ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เฟซบุ๊คเพจ เภสัชจิก และ istockphoto

    เนื้อหาโดย : Sanook!

  4. ป้ายกำกำหน้านี้
    #‎ต้องอ่าน‬ อันตรายที่ ‪#‎คาดไม่ถึง‬!! ‪#‎เตือน‬ ใช้ #แป้งโรยตัว ก็เป็นมะเร็งได้!
    เรื่องราวสุขภาพ ใกล้ตัว ที่ถูกมองข้าม

Leave a Reply